รายละเอียด
สวนโบราณ 200 ปี เป็นสวนที่มีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะยาว เพื่อคนจำนวนมากที่สุด สวน 200 ปี ตั้งอยู่เลขที่ 5 หมู่ที่ 11 ตำบลแหลมทราย อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ห่างจากตลาดหลังสวนราว 2 กิโลเมตร ผู้ที่ดูแลสวนอยู่ในปัจจุบันคือ คุณลุงสำเริง รัชเวทย์ ทายาทช่วงที่ 4 ของตระกูล สวน 200 ปี เป็นสวนเบญจพรรณ คือปลูกไม้ผลหลายๆ ชนิดรวมกัน โดยไม่ได้แบ่งเขต แบ่งโซน ชนิดของไม้ผลมีทุเรียนพื้นบ้าน มังคุด เงาะพื้นบ้าน ลางสาด หมาก มะพร้าว จันทน์เทศ สะตอ ลูกเนียง ละมุด จำปา ขนุน มะไฟ กล้วย ไผ่ พืชผักสวนครัว สมุนไพรต่างๆ สำหรับการบำรุงรักษา อาศัยธรรมชาติเป็นหลัก ปราศจากการใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเร่งการเจริญเติบโต การบำรุงดินทำโดยเลี้ยงหญ้าบำรุงดิน ช่วยให้ดินมีความชุ่มชื้นตลอดปี ส่วนปุ๋ยเป็นปุ๋ยจากธรรมชาติ เป็นวัฏจักรหมุนเวียน เช่น ใบไม้ และซากพืชล้มลุกที่ทับถมตลอดปี ส่วนการป้องกันกำจัดศัตรูพืช มีนก กระรอก กระแต คอยจับกินหนอน แมลง เป็นอาหาร ต้นทุนในการดูแลสวน แยกออกได้เป็นส่วนๆ คือ เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต ต้องจ้างแรงงานถางหญ้าบ้าง โดยเฉพาะโคนต้นเพื่อให้การเก็บเกี่ยวได้สะดวก ส่วนต่อมาคือถางบริเวณที่จะปลูกต้นไม้ซ่อมแซมลงไป
ประวัติความเป็นมา
สวน 200 ปี ตั้งอยู่เลขที่ 5 หมู่ที่ 11 ตำบลแหลมทราย อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ห่างจากตลาดหลังสวนราว 2 กิโลเมตร ผู้ที่ดูแลสวนอยู่ในปัจจุบันคือ คุณลุงสำเริง รัชเวทย์ ทายาทช่วงที่ 4 ของตระกูล ราวๆ ปี 2535-2536 นิตยสารเทคโนโลยีชาวบ้าน เคยไปพูดคุยกับทายาทของสวนช่วงที่ 3 คือ คุณตารวย และ คุณยายนูน รัชเวทย์ ในครั้งนั้นคุณยายยังแข็งแรงดีอยู่ คุณยายถือมีดขอนำทาง คอยถางทางและอธิบายอย่างแคล่วคล่อง ส่วนคุณตาเดินลำบาก แต่ความทรงจำยังดีเยี่ยม ปัจจุบันทั้งสองท่านได้เสียชีวิตลงแล้ว ด้วยอายุ 103 ปี การไปเยือนของเทคโนโลยีชาวบ้านครั้งใหม่นี้ ได้พบกับคุณลุงสำเริง คุณลุงพาเดินชมสวน ความแตกต่างจากเดิมแทบไม่มี ต้นไม้สวนใหญ่ยังอยู่ เจ้าของบอกว่า มีปี 2542 ที่ลมพายุแรง พัดต้นทุเรียนหักโค่นไปบ้าง สวนไม้ผลที่อายุยาวนาน เจ้าของสวนก็อายุยืนกว่า 100 ปี คุณลุงสำเริงก็เกือบ 80 ปีแล้ว ถามว่า คุณลุงคงอายุยืน "คุณลุงจะเอาเท่าไหร่..." เมื่อได้ยินคำถาม คุณลุงยิ้มอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับบอกว่า "เรื่องแบบนี้มันเกี่ยวกับยีนด้วย..." คุณลุงสำเริง เป็นคนอารมณ์ดี เข้าใจธรรมชาติ ปัจจุบันมี คุณพรรณราย คู่ชีวิตช่วยงานสวนอย่างแข็งขัน ส่วนทายาทรุ่นที่ 5 มีคนเดียว เป็นผู้ชายชื่อ "เวทิน" กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันให้ความสนใจงานสวนมากสวน 200 ปี สืบทอดมาถึงช่วงที่ 4 คุณลุงสำเริงเล่าว่า คนที่ปลูกสร้างสวนแห่งนี้ช่วงแรกคือ ขุนสวัสดิ์ และภรรยาชื่อ นาค เข้าใจว่า เริ่มปลูกผลหมากรากไม้หลังสร้างกรุงเทพฯ คือ ปี 2325 ได้ไม่นาน คนที่รับต่องานสวนช่วงที่ 2 คือ ขุนสุนทรเทพเลขา และ คุณยายกระแจะ ขุนสุนทรเทพเลขา นามเดิมว่า นายว่อง ว่องสวัสดิ์ รับราชการเป็นช่างศิลป์ในคุ้มเจ้าเมืองสมัยนั้น ช่วงที่ 3 คือ คุณตารวย คุณยายนูน รัชเวทย์ คุณตารวย เสียชีวิต ปี 2545 อายุได้ 103 ปี คุณยายนูน เสียชีวิต เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2548 อายุได้ 103 ปี ช่วงที่ 4 ดำเนินการสืบทอดงานสวนอยู่ขณะนี้คือ คุณลุงสำเริง รัชเวทย์อนาคต...ช่วงที่ 5 คุณเวทิน รัชเวทย์ กำลังศึกษาระดับปริญญาตรีที่กรุงเทพฯ พื้นที่สวนกว่า 30 ไร่ การดูแลรักษานั้นอิงแอบธรรมชาติ ไม่มีการแทรกแซง คุณลุงสำเริงบอกว่า การถ่ายทอดความรู้ แต่ละช่วงจะถ่ายทอดเน้นไปที่การปฏิบัติ ช่วงที่ 2 จะรู้ว่าช่วงที่ 1 ทำอะไรบ้าง ช่วงที่ 3 จะรู้ว่าช่วงที่ 2 ทำอะไร ช่วงที่ 4 รับฝากภารกิจจากช่วงที่ 3 ได้ดี ช่วงที่ 5 ถึงแม้เป็นคนรุ่นใหม่ แต่ก็รู้คุณค่า พร้อมทั้งเตรียมตัวเตรียมใจเข้าไปสืบต่องานสวนธรรมชาติแล้ว "แรกทีเดียว ที่นี่ไม่มีใครสนใจ ปี 2530 เกษตรอำเภอหลังสวนเป็นเพื่อนกับพี่ชายมาเห็น มีต้นไม้ใหญ่ขนาดนี้ จึงเริ่มศึกษาค้นคว้ากัน เจ้าของที่ดูแลอยู่ ตอนนั้นอายุ 80-90 ปี เป็นช่วงที่ 3 แล้ว ดูจากต้นไม้ด้วย อายุของสวนจึงไม่น้อยกว่า 200 ปี ผมเกิดมาจำความได้ บรรยากาศ สภาพสวนสมบูรณ์มาก มีสัตว์นานาชนิด สัตว์ปีก สัตว์สี่เท้า ผมประทับใจมาก สัตว์ส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ สมัยผมเป็นเด็ก การซื้อขายผลผลิตยุคนั้นไม่สะดวก การคมนาคมไม่ดีอย่างทุกวันนี้ ต้องใส่เรือข้ามไปฟากนั้น ทุเรียนขายร้อยละ 20 บาท มังคุดขายเป็นกิโลกรัม ราคาถูก" คุณลุงสำเริง บอกสวนเบญจพรรณ มีหลากหลาย เมื่อเริ่มเปิดตัว จึงมีผู้เข้าไปศึกษาเรียนรู้และดูงานไม่น้อย คุณลุงจึงได้เก็บรวบรวมข้อมูลไว้ คุณลุงอธิบายว่า สวน 200 ปี เป็นสวนเบญจพรรณ คือปลูกไม้ผลหลายๆ ชนิดรวมกัน โดยไม่ได้แบ่งเขต แบ่งโซน ชนิดของไม้ผลมีทุเรียนพื้นบ้าน มังคุด เงาะพื้นบ้าน ลางสาด หมาก มะพร้าว จันทน์เทศ สะตอ ลูกเนียง ละมุด จำปา ขนุน มะไฟ กล้วย ไผ่ พืชผักสวนครัว สมุนไพรต่างๆ สำหรับการบำรุงรักษา อาศัยธรรมชาติเป็นหลัก ปราศจากการใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเร่งการเจริญเติบโต การบำรุงดินทำโดยเลี้ยงหญ้าบำรุงดิน ช่วยให้ดินมีความชุ่มชื้นตลอดปี ส่วนปุ๋ยเป็นปุ๋ยจากธรรมชาติ เป็นวัฏจักรหมุนเวียน เช่น ใบไม้ และซากพืชล้มลุกที่ทับถมตลอดปี ส่วนการป้องกันกำจัดศัตรูพืช มีนก กระรอก กระแต คอยจับกินหนอน แมลง เป็นอาหาร ต้นทุนในการดูแลสวน แยกออกได้เป็นส่วนๆ คือ เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต ต้องจ้างแรงงานถางหญ้าบ้าง โดยเฉพาะโคนต้นเพื่อให้การเก็บเกี่ยวได้สะดวก ส่วนต่อมาคือถางบริเวณที่จะปลูกต้นไม้ซ่อมแซมลงไป "พ่อแม่ผม ให้คำแนะนำการทำสวนแก่ผมบ้าง แต่จะเน้นการกระทำให้เห็นมากกว่า สวนในสภาพปัจจุบันไม่จำเป็นต้องใช้สาร ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ยเคมี ถึงฤดูกาลก็ออกมา พ่อแม่ผมมีลูกหลายคน ทุกคนได้เรียนหมด พ่อแม่ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษามาก ส่งเรียนจบในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ จนถึงปริญญาตรี หลายคนทำงานอยู่กรุงเทพฯ ผมมาทำสวนนี้ได้ 13 ปีแล้ว เรื่องของรายได้ พออยู่ได้ ส่งลูกเรียนได้ แต่หากผลผลิตออกซ้ำซ้อนกับทางอื่น ราคาจะถูกมาก คนเก็บเขาไม่เก็บ อย่างมังคุดกิโลกรัมละ 10 บาท แบ่งกับคนเก็บ 5 บาท เขาไม่เก็บ ต้อง 20 บาท แบ่งกับคนเก็บ 10 บาท เขาถึงขึ้นเก็บ เราไม่ได้ร้องขอราชการอะไร เพียงแต่ให้ขายผลผลิตได้ในราคายุติธรรม"คุณลุงบอกและเล่าต่ออีกว่า"ปี 2542 ทุเรียนล้มไปหลายต้น ทุเรียนมีชื่ออย่าง แม่มน ยายพรม มดแดง มดดำ เจ้าขุนทอง แต่ทุเรียนที่เด่นๆ มีแก้ว เพชร ไอ้เข้ เมื่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ใครมาเยี่ยม แม่จะพาเดินไปชมต้นทุเรียน แล้วก็กอดต้นทุเรียน บอกว่า...นี่แม่มนนะ...แม่พรมนะ แม่มีพระคุณ ท่านรักลูกรักหลานเหลือเกิน ช่วยให้ลูกมีอยู่มีกิน ส่งลูกเรียนได้ ส่วนเงาะก็มีดั้งเดิม อายุกว่า 100 ปี อย่างเจ๊ะมง มังคุดก็เกือบ 200 ปีแล้ว"ยืนหยัด ปกป้องรักษาสิ่งที่มีอยู่ ในกระแสงานเกษตรสมัยใหม่ ที่มุ่งเน้นการผลิตเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสูงสุด โดยที่ไม่หวนคิดคำนึงสิ่งที่ต้องจ่าย คุณลุงบอกว่า จะยืนหยัดรักษาสิ่งที่มีอยู่ โดยจะไม่แทรกแซง ไม่ทำลาย คุณลุงบอกว่า สำหรับเรื่องของอนาคต ในการที่จะบำรุงรักษา ได้มองเห็นว่า การสร้างฐานะความเป็นปึกแผ่นให้กับตนเองและครอบครัว แต่ต้องทำลายและเบียดเบียนสิ่งอื่น โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น การใช้ปุ๋ยเคมี สารเคมี สารกำจัดศัตรูพืชในการเกษตรเพื่อเร่งการเจริญเติบโต หรือเร่งให้ได้ผลผลิตเกินความจำเป็น จนเกิดอันตรายต่อชาวเกษตรกรเองและต่อผู้บริโภค รวมถึงระบบนิเวศน์ ทางผู้รักษาสิ่งที่มีอยู่จะไม่ทำ คุณลุงบอกว่า พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ทวด ได้บำรุงรักษาสวนแห่งนี้มาด้วยคุณธรรม ด้วยจิตสำนึก ได้สร้างความเป็นปึกแผ่น เลี้ยงดูบุตรหลานอย่างมีความสุข บุตรหลานได้รับความรู้ มีการศึกษาอย่างทั่วถึงกัน จากรายได้ในสวน โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ต้นไม้ พืช สัตว์ รวมทั้งผืนดิน อันเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเจ้าของถือเป็นสิ่งที่ผูกพันรักใคร่ หวงแหนยิ่งในชีวิต การอนุรักษ์ ในความหมายของสวน 200 ปี คือ "การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะยาว เพื่อคนจำนวนมากที่สุด"คุณลุงสำเริง เป็นคนที่หมั่นศึกษาเรียนรู้ ตี 5 คุณลุงตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือบทความอนุรักษ์ชิ้นหนึ่ง ที่คุณลุงสำเริงประทับใจมาก คุณลุงสำเริงอ่านหลายรอบแล้ว เป็นงานอนุรักษ์ที่อเมริกา นี่เป็นคำบอกเล่าของคุณลุงสำเริง "ซีแอตเติ้ล เป็นหัวหน้าเผ่า อยู่ในรัฐวอชิงตัน ไม่ใช่กรุงวอชิงตัน มีอยู่คราวหนึ่ง ประธานาธิบดี ไปขอซื้อที่ดินกับหัวหน้าเผ่า คือ ซีแอตเติ้ล ประธานาธิบดีบอกว่า ราคาเท่าไหร่ซื้อได้ไม่อั้น เมื่อมีคนไปขอซื้อที่ดิน ซีแอตเติ้ลตอบว่า ขายไม่ได้หรอก พร้อมกับชี้ไปที่ป่าไม้ และบอกว่า ป่าไม้ที่เห็นอยู่คือพ่อแม่เรา เขาดูแลเรามาตั้งแต่เด็ก ม้า วัวป่า คือเพื่อนที่ดีของเรา เรารักเขามาก ส่วนดอกไม้ท้องทุ่ง เป็นน้องสาวเรา เป็นคนรักของเรา ขายไม่ได้ เมื่อมีคนนำเรื่องราวไปบอกประธานาธิบดี แทนที่ประธานาธิบดีจะโกรธ ส่งคนไปฆ่าเหมือนในหนัง แต่ประธานาธิบดีกลับพูดว่า...มีด้วยหรือคนอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้สิ ต่อมาเมื่อซีแอตเติ้ลเสียชีวิต จึงนำชื่อของเขามาตั้งเป็นชื่อเมือง"คุณลุงสำเริงบอก และยืนยันว่า"สิ่งที่เรามีอยู่ สอดคล้องกัน เราต้องรักษา เหมือนบรรพบุรุษที่ท่านรักษาไว้ ตอนนี้เริ่มถ่ายทอดสู่ช่วงที่ 5 แล้ว มีความภูมิใจ เราไม่เบียดเบียน คนเราอยากรวยทุกคน แต่คนที่รวย ทำลายอะไรไปบ้าง รวยบนพื้นฐานการทำลาย ผมว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อสังคม" ถามถึงเคล็ดลับ เรื่องสุขภาพดี อายุยืนยาว คุณลุงสำเริงบอกว่า ดูเรื่องอาหารการกิน สภาพจิต หากเครียดจะเป็นตัวบ่อนทำลาย ควรใช้ชีวิตในแง่บวก คุณลุงสำเริงมีลูกคนเดียว "ผมไม่ได้แบกหาม ลูกของผมเขาไม่ได้สร้างปัญหา อาหารผมได้จากธรรมชาติ" คุณลุงสำเริง บอกหลังพูดคุย คุณลุงสำเริงพาชมสวน เริ่มจากดงจันทน์เทศ ที่คุณพรรณราย เก็บผลผลิตขายทุกวัน มังคุดต้นขนาดคนโอบก็มีอยู่หลายสิบต้น สำหรับทุเรียน ใหญ่สุดนั้น 2 คนโอบไม่รอบ มีนามว่า "แม่มน" "ต้นทุเรียนล้มไป ปี 2542 ยังอยู่ราว 30 ต้นได้ สำหรับต้นใหญ่ ต้นใหม่ๆ ก็มีขึ้นทดแทนมาเรื่อย เมื่อถึงฤดูกาล ส่วนหนึ่งผมนำผลผลิตไปขายที่หน้าบ้าน คนอื่นขาย 15 บาท ผมขาย 10 บาท" คุณลุงสำเริง บอกเป็นสวนที่มีความมหัศจรรย์ที่หายากมาก หรือหาอย่างนี้ไม่มีอีกแล้วใครที่ไปทางนั้น คุณลุงสำเริงบอกว่า ยินดีต้อนรับสำหรับการดูงาน หรือจะซื้อผลผลิต
ลักษณะเด่น
การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะยาว เพื่อคนจำนวนมากที่สุด
ที่มาข้อมูล
Thailand Tourism Directory